วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5. ทิพพจักขุ

อภิญญาที่ 5 ทิพพจักขุ (ตาทิพย์)

ทิพพจักขุ (ตาทิพย์) คือ ญาณที่ทำให้มองเห็น
- รูปทิพย์ เช่น เทวดา พรหม ผี เปรต อสุรกาย ฯลฯ
- เหตุการณ์ /ความเป็นไป ของสรรพสัตว์ในระยะไกล อดีต ปัจจุบัน อนาคต
- สิ่งลี้ลับต่างๆ
- มองทะลุสิ่งกีดขวางทั้งปวง


จาก: หนังสือทิพยอำนาจ โดย พระอริยคุณาธาร
*************************


จาก: หนังสืออภิญญา โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
กสิณ ๓ เป็นบาทของทิพจักขุญาณ

ต่อไปนี้จะได้แนะถึงวิธีปฏิบัติในกสิณ ๓ อย่าง คือ เตโชกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ ๓ อย่างนี้แต่เพียงพอเป็นทางปฏิบัติ เพื่อบำเพ็ญเพื่อได้ทิพจักขุญาณ แต่ท่านอย่าลืมนะว่าการปฏิบัติกรรมฐานจะต้องหาครูผู้สอน ถ้าทำเองโดยไม่มีใครแนะนำและควบคุมแล้ว ดีไม่ดีจะเกิดสำเร็จเร็วกว่าความเป็นจริง
ตัวอย่างในปัจจุบันมีไม่น้อย พอเห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คิดว่าสำเร็จเสียแล้วเลยไม่พบดีกัน
ขณะที่เขียนหนังสือนี้อยู่ มีนักปฏิบัติกลุ่มหนึ่งมาถามว่า "ฉันได้ไปสอบกับครูผู้สอน คุณครูบอกว่าได้องค์ธรรมแล้ว ท่านช่วยตรวจด้วยเถอะว่าฉันได้แค่ไหนแล้ว?" ทำเอาข้าพเจ้างงงันคอแข็งไปเลย ไม่มีแบบมีแผนที่ไหนที่ผู้ปฏิบัติถึงธรรมแล้ว กลับไม่รู้ว่าตัวได้ แปลกมาก ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง เมื่อได้แล้วต้องรู้เอง ไม่ใช่ไปขอร้องให้คนอื่นช่วยบอก แล้วครูเอาอะไรเป็นเครื่องวัดว่าลูกศิษย์ได้ดวงธรรม ในเมื่อเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ข้าพเจ้าได้วินิจฉัยดูเห็นว่า ก. ข. ยังไม่กระดิกหูเลย จึงย้อนถามว่าใครเป็นครู ท่านกลุ่มนั้นก็บอกครูและสำนัก ถามถึงระเบียบการสอนก็บอกให้ทราบ ดูแล้วช่างไม่ถูกไม่ตรงเสียแล้ว เสียดายธรรมของพระพุทธเจ้า สงสารพระพุทธเจ้า อุตส่าห์พร่ำสอนเสียเป็นวรรคเป็นเวร เกือบล้มเกือบตาย แต่ลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้เชื่อฟัง กลับเอาลัทธิหลอกลวงมาใช้ แล้วแอบอ้างเอาพระนามของพระองค์มารับรอง น่าสงสารแท้ ๆ ธรรมที่ว่าสอบได้นั้น เขาบอกว่า เห็นดวงเล็กบ้างใหญ่บ้าง เห็นพระบ้าง โธ่! น่าสงสาร ของเท่านี้ยังไกลต่อคำว่าได้อีกหลายล้านเท่า ท่านระวังไว้นะ! ดีไม่ดีจะไปพบครูจระเข้แบบนี้เข้าจะลำบาก

ทิพจักขุญาณนี้ ความจริงแล้วอาจจะได้จากกรรมฐานกองอื่นก็ได้ ไม่เฉพาะกสิณ ๓ อย่างนี้ เมื่อทำสมาธิถึงแล้ว และรู้จักวิธีปฏิบัติแม้กรรมฐานกองอื่นก็ทำทิพจักขุญาณให้บังเกิดได้ แต่ที่แนะนำไว้ในที่นี้ว่าให้ปฏิบัติในกสิณ ๓ ก็เพราะว่ากสิณ ๓ นี้เป็นบาทของทิพจักขุญาณโดยตรง แนะตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านว่าไว้อย่างนี้ ก็เขียนไปตามท่าน แต่ถ้าใครตามได้คนนั้นก็ได้ทิพจักขุญาณจริง

อาโลกกสิณ กสิณกองนี้ ตามในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า เป็นกสิณที่เหมาะแก่ทิพจักขุญาณที่สุด มีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้ ผู้ใดที่เคยเจริญ อาโลกกสิณ มาแต่ชาติก่อน ชาตินี้แม้เพียงแลดูแสงจันทร์หรือแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดช่องฝามาเท่านั้น ก็สำเร็จ"อุคคหนิมิต" ( คือรูปนั้นติดตาแม้หลับแล้วก็ยังเห็นภาพนั้นติดตาติดตาอยู่ เรียกว่า "อุคคหนิมิต" ) และ "ปฏิภาคนิมิต" ( คือ เห็นแสงนั้นสว่างไสวคล้ายแสงดาวประกายพรึก สว่างจ้าเหมือนลืมตาเห็นดวงอาทิตย์ ) ได้ง่ายดาย สำหรับผู้ที่ฝึกหัดใหม่นั้นท่านให้เพ่งดูแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ที่ส่องลงมาตามช่องฝาเป็นแสงกลม ลืมตามองดูแล้วตั้งใจจดจำไว้ว่า แสงที่ส่องลงานั้นเป็นอย่างไร มีรูปคือลักษณะช่องกลมอย่างไร แล้วบริกรรมว่า โอภาโส ๆ หรือจะภาวนาว่า อาโลโก ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จนกว่าภาพนั้นจะติดตา คือ ภาวนาไปด้วย นึกถึงภาพนั้นไปด้วย

เมื่อภาพนั้นติดตาแล้วก็ให้กำหนดใจว่าขอภาพนั้นจงใหญ่ขึ้น เมื่อภาพนั้นใหญ่ขึ้น ก็นึกให้เล็กลง ภาพนั้นก็เล็กลง นึกว่าภาพนี้จงสูงขึ้น ภาพนั้นก็สูงขึ้น นึกว่าขอภาพนี้จงต่ำลง ภาพนั้นก็ต่ำลง อย่างนี้เรียกว่าได้ "อุคคหนิมิต" เป็นอุปจารสมาธิ ถึงอุปจารฌาน ต้องให้ได้จริง ๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรต้องเห็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น แม้ไม่มีแสงให้ดูภาพนั้นก็ยังติดตาติดใจอยู่ และเมื่อต้องการจะเห็นภาพนั้นเมื่อไร คือ เมื่อกำลังง่วงต้องการเห็นต้องการบังคับ ก็เห็นได้บังคับได้ เมื่อกำลังเหนื่อย เมื่อหิว เมื่อตื่นนอนใหม่ ๆ เห็นได้บังคับได้ทุกขณะทุกเวลา จึงชื่อว่า ได้อุคคหนิมิตที่แท้ ต่อไปให้ฝึกอย่างนั้นจนชำนาญ จนได้ "ปฏิภาคนิมิต" คือ เห็นแสงสว่างผ่องใสเป็นแท่งหนาทึบ คล้ายแสงมากองรวมกันอยู่ คล้ายดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ที่มองเห็นในขณะลืมตา อย่างนี้เรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต"

เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วก็ชื่อว่าจิตสมควรแก่การที่จะได้ "ทิพจักขุญาณ" เมื่อประสงค์จะเห็นอะไร ให้เพ่งนิมิตนั้นก่อน เมื่อเห็นนิมิตชัดเจนแล้ว ให้กำหนดจิตว่า ขอภาพนิมิตจงหายไป ภาพที่ต้องการจงปรากฏขึ้น เพียงเท่านี้ภาพที่ต้องการก็ปรากฏขึ้น จะเป็นภาพนรก สวรรค์ พรหมโลก หรือ ญาติที่ตายไป และจะเป็นอะไรก็ได้ เมื่อได้แล้วให้ฝึกไว้เสมอ ๆ จะได้ชำนาญและคล่องแคล่วใช้งานได้ทุกขณะ

สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะหัดให้คล่องทั้งลืมตาและหลับตา เพราะจะเป็นประโยชน์มาก เพื่อว่าถ้าเราอยากจะรู้อะไร ในขณะที่คุยกับเพื่อนหรือไปในระหว่างคนมาก ถ้ามัวไปหลับตาอยู่ เขาจะคิดว่าเรานี่ท่าทางคงจะไม่ใคร่ตรง ดีไม่ดีพวกจะพาส่งโรงพยาบาลบ้าเสียก็ได้ เพราะฉะนั้น ควรฝึกให้คล่องเสียทั้งสองอย่าง ทั้งลืมตาและหลับตา

เอาละนะ! แนะนำไว้แบบเดียวก็พอจะได้ไม่ยุ่ง ทิพจักขุญาณนี้มีประโยชน์มาก เหมาะแก่การพิสูจน์ประวัติต่าง ๆ เช่น พระพุทธบาท ปฐมเจดีย์ หรือเรื่องราวเก่า ๆ ที่สงสัย ถ้าปรารถนาจะรู้แล้วจะรู้ได้เลย ภาพเก่า ๆ จะปรากฏคล้ายดูภาพยนตร์ พร้อมทั้งรู้เรื่องรู้ชื่อคน ชื่อสถานที่ไปในตัวเสร็จ แต่ระวังใช้ให้ถูกทาง อย่านำไปใช้ในทางลามก ถ้าทำอย่างนั้นจะเสื่อมเร็ว
*************************

ทีนี้มาว่ากันถึง " ทิพจักขุญาณ " ทิพจักขุญาณนี่ผมฝึกมาในด้านลัด แต่ผมฝึกจริง ๆ น่ะ ผมฝึกมันหมดไม่ว่าอีท่าไหนผมฟัดหมด กรรมฐาน ๔๐ ท่านถามผมสิ กองไหนที่ผมไม่ได้ไม่มี แล้วมหาสติปัฎฐานสูตรจุดไหนที่ผมไม่ได้ไม่มี ผมทำยังไง ผมทำบ้า ๆ บอ ๆ อย่างที่ผมอธิบายให้ท่านฟัง ผมจะไม่ยอมปล่อยเวลาแม้แต่หนึ่งวินาทีของจิตให้มันว่างจากการคำภาวนาหรือพิจารณา ทำงานเอางานเป็นกรรมฐาน เดินเอาเดินเป็นกรรมฐาน นั่งเอานั่งเป็นกรรมฐาน นอนเอานอนเป็นกรรมฐาน ดูหนังดูภาพยนตร์หรือว่าดูมโหรสพต่าง ๆ ผมเอามโหรสพเป็นกรรมฐาน ฟังเสียงคนพูดฟังเสียงคนร้องเพลง ฟังเสียงดนตรีผมเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นกรรมฐาน เห็นพืชผักเอาเป็นกรรมฐานทั้งหมด เอาเป็นกรรมฐานยังไง ตั้งใจฟังเสียงเป็นสมาธิเป็นสมถะ ใช้จิตพิจารณาว่าคนก็ดีสัตว์ก้ดี ไอ้ที่แสดงมโหรสพกันอยู่ และภาพที่มันเห็นนี่ หรือวัตถะธาตุต่าง ๆ มันเป็น " อนิจจัง " มันเป็นของไม่เที่ยง อย่างพวกนักแสดง
แหม..เวลาออกมาข้างนอกแต่งตัวโก้เป็นเจ้าเป็นนาย คนเป็นขี้ข้าท่าทางหมอบราบคาบแก้วกลัวกันเหลือเกิน ออกกำลังปฏิบัติตามกัน แต่พอเข้าไปในโรง ดีไม่ดีไอ้ตัวนายเป็นลูกไล่ของตัวขี้ข้า นี่มันเที่ยงที่ไหน มันไม่เที่ยง เขาต้องใช้ใจอย่างนี้ ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงว่าเราจะเดินสายทิพจักขุญาณค่อย ๆ ว่ากันทีละขั้น ถามว่าท่านจะฝึกมโนมยิทธิหรือ นอนภาวนา นั่งภาวนา เดินภาวนาไปเลย นะมะ พะธะ ว่ากันไปเลย อย่าให้เวลามันว่าง อย่าให้จิตมันว่าง จะได้เลิกกันเสียที ไอ้ความเห็นผิด ไอ้การรู้ผิด ไอ้การเข้าใจผิดน่ะ เลิกกันเสียที ถ้าได้มโนมยิทธิน่ะ เขาแก้อารมณ์กันข้างบนโน่น เขาขึ้นไปเที่ยวกันบนสวรรค์ เที่ยวกันบนพรหม เที่ยวกันบนนิพพาน ถ้าจิตเข้าถึง แล้วแก้อารมณ์มันง่าย ใช้อารมณ์แว๊บเดียวเดี๋ยวเดียวเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ไปเลย
ตอนนี้ มาว่าถึงคนที่มีกำลังใจไม่เข้าถึงมโนมยิทธิ มาว่ากันถึงทิพจักขุญาณ ผมสอนไว้แล้วว่า

พุทธัง เมฆนิมิต จิตตัง มะอะอุ
ธัมมัง เมฆนิมิต จิตตัง อุอะมะ
สังฆัง เมฆนิมิตจิตตัง อะมะอุ

นี่เป็นแบบลัด คลุมหมดวิชชา ๘ ที่สมาทานกันนี่ ถ้าทำอันนี้ได้ทำได้หมด เวลาเขาทำเขาทำกันยังไง ให้จับภาพพระพุทธรูปหรือจับภาพพระสงฆ์ เป็นพระใช้ได้หมด เวลาภาวนาไปเดินไป นั่งอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ก็ตาม ภาวนาให้มันติดใจให้มันโผล่ขึ้นมาในใจเสมอ ถ้าจิตเว้นว่างจากอารมณ์อย่างอื่น ให้คำภาวนานี้มันโผล่ขึ้นมาเลย แล้วก็จิตนึกถึงภาพพระให้มันเป็นปกติ นึกเห็นนะ ไม่ใช่พระลอยมา นี่พวกเราที่ยังติดภาพลอยกันอยู่เยอะ ภาพลอยนี่เขาไม่ใช้นะ มันต้องใช้อารมณ์จิตที่เป็นสมาธิ นึกเห็นภาพพระ จะเอาไว้ในอกก็ได้ จะเอาไว้ข้างนอกก็ได้ แต่ผมเองนิยมเอาไว้ในอกหรือว่าในสมอง นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ในอกหรืออยู่ในสมอง ถามว่ามันทำยากหรือมันทำง่าย ผมต้องตอบว่ามันไม่ยากถ้าเราแน่ใจซะอย่าง ถ้าเรามีอิทธิบาท ๔ ซะอย่างมันไม่มีอะไรยาก ความเข้มแข็งของจิต ต้องคิดว่าคนอื่นน่ะ เขากินข้าวเราก็กินข้าว เขามีมือ ๆ ละ ๕ นิ้ว เราก็มีมือ ๆ ละ ๕ นิ้ว เขาฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องเราก็ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง เขามีกำลังใจได้เราก็มีกำลังใจได้ นี่..ความท้อแท้มันต้องไม่มี มี " วิริยะ " อยู่ในใจ " จิตตะ " อารมณ์จะไม่ยอมปล่อยคำภาวนา และภาพพระพุทธรูปหรือภาพพระสงฆ์ที่เราจับไว้ " วิมังสา " ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยว่า โอ้หนอ.. ที่เราภาวนานี่มันถูกหรือไม่ถูก ภาพพระที่เรานึกเข้าไว้นี่มันถูกหรือไม่ถูก เห็นภาพลอยมานี่ต้องใช้ปัญญา สัญญาและปัญญาคู่กัน สัญญาคือจำไว้ว่าครูห้ามยึดถือภาพที่ลอยมาเป็นอันขาด อยากจะมาก็เชิญมา อยากจะไปก็เชิญไป คำภาวนาว่าอย่างไรที่เราเริ่มต้น ใช้อย่างนั้นเป็นปกติ ไม่ยอมเปลี่ยนเด็ดขาด ภาพพระพุทธรูปหรือภาพพระสงฆ์ที่เรากำหนดไว้ภายในอกหรือว่าในสมอง เราจะไม่ยอมให้ภาพนั้นเคลื่อนจากอารมณ์ของจิต ใหม่ ๆ มันก็ลำบากนิดหนึ่งไม่เห็นมันยากเยิกอะไร เอาจริงเอาจังน่ะไม่มีอะไรมันยาก ไอ้ที่ยากน่ะมันคนไม่จริง สักแต่ว่าอยากอย่างนั้น สักแต่ว่าอยากอย่างนี้ ถ้าลงอยากล่ะพัง ไม่ต้องไปนั่งอยากไม่ต้องไปนั่งนึก เอามันเลย จิตปักคิดว่าพระพุทธรูปองค์นี้แหละเราจะถือเป็นอารมณ์สำหรับนึก นึกถึงเมื่อเวลาภาวนา เดินไปเดินมา ไปบิณฑบาตทำกิจการงานทำอะไรก็ตาม คุยอยู่ก็ตาม ว่างนิดจิตนึกถึงภาพพระองค์นั้นภาวนาจิตขึ้นมา
นี่เป็นอันว่า ให้อารมณ์มันติดอย่างนี้จริง ๆ ทีนี้หากบังเอิญภาพพระที่เรานั่ง เรานึกถึงภาพพระนั่งแต่ภาพพระจะกลายเปลี่ยนเป็นนอน เป็นยืน เป็นเดิน จับภาพพระพุทธ ภาพพระพุทธจะหายไปจะกลายเป็นภาพพระสงฆ์อารมณ์จะเสียก็ช่าง จะเป็นพระสีขาว สีดำ สีแดงก็ช่าง เราจับภาพพระให้เป็นภาพพระก็แล้วกัน อิริยาบถท่านจะเปลี่ยน ภาพจากกระแสจะเปลี่ยนไปยังไงก็ช่าง ถ้าจับภาพได้อย่างนี้จริง ๆ ได้ทุกเวลาตามที่เราต้องการ อาการอย่างนั้นจะเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ เมื่อจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ อารมณ์แห่งทิพจักขุญาณมันก็จะเริ่มเกิด ถ้าภาพนั้นไม่สดสวยน่ะ เป็นภาพธรรมดา ภาพพระพุทธที่เราเคยเห็นก็เป็นภาพพระพุทธรูป บางทีก็เห็นเป็นนั่งบ้างเป็นนอนบ้าง อย่าเอาภาพลอยมานะ เอาใจนึกเห็น อย่างนี้เขาเรียกว่า วิปัสสนึก เอาจิตนึกเห็นไว้ แล้วอย่าไปอวดวิเศษน่ะว่านั่นเป็นอุปาทานอุปาเทินนะ.. แหม.. อวดดีนี่ไม่ว่า แต่ไอ้อวดเลวนี่สิมันระยำ จำแบบจำแผนเขาไว้ให้ดี ว่าที่เขาได้มานี่เขาทำกันยังไง ถ้าหากว่าเราเก่งจริง ๆ น่ะ ไม่ต้องมาฝึกหรอก มันก็ดีมาตั้งแต่ท้องแม่แล้ว ไอ้ที่เขาทำกันได้เนี่ยเขาทำกันอย่างนี้ ถือว่า แหม..มันเป็นอุปาทานอย่างนั้นอย่างนี้ หูได้ยินเสียงเป็นอุปาทาน ตาที่พึงใจที่เห็นอารมณ์ได้หลับตาแล้วเห็นภาพได้เป็นอุปาทาน มันไม่ใช่อุปาทาน
คำว่า " อุปาทาน " หมายถึงว่า สิ่งที่เราคิดไว้ก่อน เราเห็นไว้ก่อน แล้วเวลาที่ทำสมาธิไป ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันปรากฏขึ้น อย่างกับเคยเห็นภาพเทวดาที่เขาเขียนตามผนังโบสถ์ไม่มีเสื้อ นางฟ้าไม่มีเสื้อ เทวดาไม่มีเสื้อ อารมณ์แว๊บหนึ่งภาพลอยมาเทวดาไม่มีเสื้อ นี่แหละตัวอุปาทาน ไอ้ตัวที่จิตมันยึดอยู่ ถ้าอารมณ์เราเป็นสมาธิจริง ๆ จิตจับภาพพระเป็นปกติ แต่บางขณะจิตหายแว๊บลงไป สิ่งอื่นมันสะดุดขึ้นมาปรากฏในขณะที่จิตเป็นสมาธิ นั่นเป็นของแท้ ไม่ใช่อุปาทานนะ อันนี้พูดกันถึงด้านทิพจักขุญาณก่อน แต่ถ้าหากว่าท่านจะฝึกมโนมยิทธิก็ต้องใช้อารมณ์อย่างนี้ อารมณ์มันต้องใช้เท่ากัน ทั้ง ๔ อย่างนี่บอกแล้ว สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน ความเข้มแข็งของจิตเหมือนกัน แต่เว้นไว้แต่จะเลือกทางเดินกันเท่านั้น ทีนี้ ถ้าหากว่าภาพของท่านเข้าถึงอารมณ์อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ จิตเริ่มเป็นทิพย์ จะเริ่มมีอาการไหวตัวขึ้นมาในด้านลักษณะของทิพจักขุญาณ เดี๋ยวก่อน ผมขอพูดต่อไปก่อน ยังไม่อธิบายหรอกตอนนี้ ถ้าต่อไปอาการภาพพระที่เราเห็น มีสภาพผ่องใสจับได้เป็นปกติ คำว่าปกติ นึกภาวนาขึ้นมาเมื่อไหร่ นึกถึงเห็นภาพพระทันที ไม่เสียเวลาแม้แต่หนึ่งวินาที นี่จิตต้องคล่องอย่างนี้นี่ตามวิสุทธิมรรคท่านว่า จิตต้องเป็นนวสี นวสี ก็คือ การคล่อง ถ้าการคล่องอย่างนี้เกิดขึ้น อารมณ์แห่งทิพจักขุญาณสามารถใช้ได้ เริ่มใช้ได้แต่ว่ายังไม่ดี วิธีใช้ทำยังไง ทีนี้วันนี้ผมจะพูดถึงอาการแห่งทิพจักขุญาณที่มันเกิดขึ้นอันดับต้น มันจะเกิดขึ้นแบบนี้ก่อน คือว่า เวลาเรานอนภาวนาไป เวลาภาวนานอนภาวนาจับภาพพระเรื่อยไป พอใกล้จะหลับ มันครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือว่าตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เต็มที่ มันจะเกิดนิมิตแว๊บหนึ่งขึ้นปรากฏ นิมิตนั่นจะเป็นนิมิตอะไรก็ตาม จิตมันจะบอกเลยว่านิมิตอันนี้จะเป็นภาวะอันนั้นเกิดขึ้น มันจะมีอะไรเกิดขึ้นใจเราต้องเชื่อจุดนี้ทันที อย่าไปคิดตอนหลังไม่ได้ แล้วจุดนั้นมันจะตรง
เอาละ สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้ว สวัสดี
*******************


วันนี้ก็จะขอพูดต่อเรื่อง " ทิพจักขุญาณ " ก็โปรดจำไว้ให้ดีนะว่าจะเป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ๔ อย่างนี้ใช้กำลังใจเสมอกัน ถ้าอารมณ์ใจของท่านอ่อนแอพลาดใน " อิทธิบาท ๔ " พลาดใน " บารมี ๑๐ " ผมขอพยากรณ์ไว้เลยว่าไม่มีทางได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็จะไม่มีในจิตของท่าน เป็นอันว่า เมื่อคืนนี้มาพูดค้างไว้ในด้านทิพจักขุญาณ ว่ากำลังใจของเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ สำหรับทิพจักขุญาณนี้อย่าลืมนะครับว่ามีแบบปฏิบัติอยู่มาก สำหรับ" อาทิกัมมิกบุคคล " หมายความว่า คนไม่เคยได้มาในชาติก่อน เพิ่งเริ่มต้นในการกระทำ ตามแบบวิสุทธิมรรคท่านให้ใช้เตโชกสิณ อาโลกกสิณ หรือ โอทาตกสิณเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติให้เกิดทิพจักขุญาณ นี่ว่ากันตามแบบ ถ้าหากว่าตามแบบปฏิบัติก็ถือว่าเราจะใช้อะไรก็ได้มาเป็นกสิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเอาพระพุทธรูปมาเป็นกสิณเราก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าเป็นคนที่เคยได้มาแล้วในชาติก่อน เพียงเป็นแต่สร้างอารมณ์จิตให้ถึงอุปจารสมาธิ ทิพจักขุญาณก็เกิด...
ทีนี้สำหรับแนวการปฏิบัติที่ผมแนะนำท่านว่าใช้คำภาวนาว่า

พุทธัง เมฆะนิมิต จิตตัง มะอะอุ
ธัมมัง เมฆะนิมิต จิตตัง อุอะมะ
สังฆัง เมฆะนิมิต จิตตัง อะมะอุ

ถ้าฟังอย่างนี้แล้วบางทีไปคุยกับใครเขา เขาก็จะคิดว่าผมสอนนอกลู่นอกทาง แต่ความจริง อันนี้เขาปฏิบัติกันได้ดีมามากและก็ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ก็เป็นอันว่า ถึงอนุสสติทั้ง ๓ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ แล้วเวลาที่ปฏิบัติต้องใช้อารมณ์เข้มแข็ง การใช้อารมณ์อ่อนแอนี่ไม่ได้ ต้องให้จิตจับภาพพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งไว้เป็นสำคัญ อย่างนี้เราผ่อนกันไม่ได้เลย กำลังใจจุดนี้จะต้องใช้เหมือนกันทั้งพวกฝึกวิชชาสาม อภิญญาหก และ ปฏิสัมภิทาญาณ ใช้กำลังเท่านกัน แม้แต่สายสุกขวิปัสสโกก็เช่นเดียวกัน ใจเสมอกัน แต่ว่าแยกวิธีปฏิบัติเพื่อความรู้พิเศษเท่านั้น สมมติว่าท่านทั้งหลายสามารถทำใจเข้าถึงอุปจารสมาธิ คือ นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ทำอะไรก้๖ม จิตสามารถนึกถึงภาพพระที่ท่านกำหนดไว้ แต่ว่าภาพพระที่ท่านกำหนดไว้โปรดจำไว้ด้วยว่า บางทีเรากำหนดเป็นภาพพระนั่ง ดีไม่ดีนึกเห็นเป็นพระนอนไปเสียแล้ว ไม่ใช่วาดเอาเองนะ ต้องจิตนึกขึ้นมาแล้วเห็นภาพนั้นชัด ถ้าทางที่ดีก็น้อมเอาภาพพระนั้นมาไว้ในอกมันจะดีมาก บางทีเรานึกถึงภาพพระพุทธรูปไว้ พระพุทธรูปกลายเป็นพระสงฆ์ไปเสียแล้ว พระพุทธรูปนั่งกลายเป็นพระสงฆ์ยืน หรือพระสงฆ์นั่ง พระสงฆ์นอน อย่างนี้จงถือว่าใช้ไม่ได้ บางทีเรานึกถึงภาพพระสีเหลืองแต่กลายเป็นสีขาวไปเสียบ้าง เป็นสีคล้ำไปเสียบ้าง อะไรก็ตามใจท่าน ขอให้จิตมันจับไว้ได้ก็แล้วกัน


อันดับแรกนี่เราต้องการเรียกว่า วิปัสสนึก คือ นึกขึ้นมาเมื่อไหร่นึกเห็นภาพได้ทันที อย่างนี้เขาเรียกว่าสร้างภาพขึ้นในอก ที่อย่างวัดปากน้ำภาษีเจริญที่บอกว่าให้สร้างดวงขึ้นในอกก็แบบเดียวกัน แต่ทีนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถจับเอาภาพพระเข้าไว้ในอกได้ นี่ต้องมีความเข้มแข็งนะ เพราะไอ้ตอนนี้เป็นเรื่องของอภิญญาแล้ว ผมจะไม่พูดแบบที่เรียนปฏิบัติกันมาตามก่อน ๆ ตามสายก่อน ๆ เอากันตรงไปตรงมาต้องให้ได้จริง ๆ เมื่อจิตของท่านสามารถจับภาพพระนี้ได้จริง ๆ จะนึกขึ้นมาเวลาไหนเห็นได้จริง ๆ ไม่ใช่ลอยมานะ อย่าลืม ภาพลอยนี่เขาไม่ใช้ นี่เราใช้กำลังใจของเราให้เป็นทิพย์

ทิพจักขุญาณ แปลว่า ผู้มีความรู้คล้ายตาทิพย์ ไม่ใช่เอาลูกตาไปเป็นทิพย์ มองภาพลอยไปลอยมาอันนี้ใช้ไม่ได้เลย อันนี้เมื่อเราจับภาพนี้ได้ ตอนนี้อารมณ์ทิพจักขุญาณก็เกิด อารมณ์จิตเริ่มเป็นทิพย์แต่ก็เกิดแบบมัว ๆ เพราะอะไร เพราะภาพพระที่เราเห็นน่ะมันชัดหรือไม่ชัด เพราะภาพพระที่เราจับน่ะมันเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราว่าจิตเราเป็นทิพย์แจ่มใสหรือไม่แจ่มใส นี่แล้วเราอย่าเอาเข้าไปเทียบกับพวก " มโนมยิทธิ " เขานะ ทิพจักขุญาณนี่ใช้ได้ผลแต่จะให้คล่องแคล่วแจ่มใสเหมือน " มโนมยิทธิ " นี่ไม่ได้ กำลังยังอ่อนกว่ากันเป็น ๑๐๐ เท่า แต่ทว่ามีผล ผลที่จะพึงได้ คือ พิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทุกจุด ถ้าอารมณ์ของท่านเข้าถึงจุดนี้ อันดับแรกที่อารมณ์ของทิพจักขุญาณมันจะเกิด มันเกิดแบบนี้ก่อน คือว่า เราใช้อารมณ์จริง ๆ ยังไม่ได้ เพราะว่ากำลังจิตยังอ่อนอยู่ เมื่อเรานอนภาวนาไป สมมติว่ามีเรื่องอะไรที่มีการขัดข้องแล้วเราต้องการจะรู้ บันทึกไว้เขียนไว้ หรือนึกไว้ตอนกลางวันก็ได้ แต่อย่าให้เรื่องนั้นมันยุ่งยากนัก เอาเฉพาะจุด เวลาจะนอนเราก็ภาวนาเรื่อยไปจนหลับ ถ้าจับพระได้เป็นปกติ เวลาใกล้จะหลับเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่นหรือว่าเวลาตื่น ๆ ไม่เต็มที่ ตอนนี้จะเกิดนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คำว่า นิมิต นี่ผมไม่ได้หมายไม่เจาะจง อาจจะเห็นรูปวัว รูปควาย รูปม้า รูปช้าง สีขาว สีเขียว สีแดง คน อะไรก็ช่างเถอะ! ถ้าเกิดนิมิตอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าขอเตือนอีกนิดหนึ่งว่า ถ้าเราคิดว่าเราอยากจะรู้เรื่องอะไรก็ตั้งใจไว้เสียก่อนว่า เราต้องการรู้เรื่องนี้ เวลาที่ภาวนาต้องทิ้งอารมณ์นั้นทันที เอาจิตจับเฉพาะคำภาวนาหรือจับภาพพระ พร้อมกันนั้นก็จับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ต้องทำให้ได้นะ อันนี้อย่าสักแต่ว่าไม่ได้ สักแต่ว่าทำได้บ้างไม่ได้บ้าง จับได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่างโน้นพลาด อย่างนี้อยู่ไม่ได้แน่ นี่เป็นเรื่องจริงใจ ในเมื่อภาพนิมิตเกิดขึ้นอารมณ์มันจะบอกทันที ว่านิมิตนี้บอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็บันทึกจดเอาไว้ มันจะตรงตามความเป็นจริง นี่หมายความว่าทิพจักขุญาณอย่างอ่อน แล้วถ้าเราไม่ทิ้งอารมณ์นั้น เราทรงอารมณ์ไว้เสมอ อารมณ์จิตเริ่มแจ่มใสขึ้น การจับพระทรงตัวคล่องขึ้น เห็นชัดขึ้น นึกเห็นน่ะไม่ใช่ว่าลอยมาเห็น พวกลอยมาเห็นนี่ใช้ไม่ได้นะ ผมไม่ให้คะแนนเลยเพราะว่าผมปฏิบัติมาแล้ว ผมรู้ว่าอะไรมันดีอะไรไม่ดี คนที่จับภาพลอยนี่เป็นอารมณ์อุปาทาน ภาพลอยนั่นมันเป็นแต่เพียงจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ไม่ได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ แต่ว่าถ้าไปจับคิดว่าเป็นทิพจักขุญาณก็เหลว ไม่ใช่น่ะ คนละเรื่อง นี่น่ะเฝือกันเสียมาก ไอ้เรื่องนี้ นี่หากว่าจิตมันจับอารมณ์มันดีขึ้น ทิพจักขุญาณสูงขึ้น ถ้าเราอยากจะรู้อะไรขึ้นมาเราก็นึกจับภาพพระนั้นก่อน อย่าลืมนะ อันนี้ทิ้งไม่ได้นะ! กำหนดจิตจับคำภาวนาจากภาพพระนั้นก่อน เมื่อเห็นภาพพระจะเป็นภาพพระอะไรก็ช่าง ให้เป็นภาพพระก็แล้วกัน แล้วก็สังเกตดูว่าเราเห็นแจ่มใสหรือไม่แจ่มใส การเห็นภาพพระชัดเจนแค่ใดเราก็เห็นภาพสิ่งที่เราต้องการชัดเจนเท่านั้น สมมติว่าเราอยากจะรู้ว่านาย ก. คนนี้ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน จงลืมความประพฤติเขาเสีย ความประพฤติในปัจจุบันหรือก่อนที่เขาจะตาย เขาทำอะไรทำดีทำชั่วอะไรอยู่ที่ไหน ทิ้งอารมณ์เสียให้หมด ถ้าไปเกาะอารมณ์นั้น นั่นแหละอุปาทานมันกิน

สมมติว่าเคยเห็นเขาลักเขาขโมยเขาปล้นเขายื้อแย่งฆ่าปลาฆ่าสัตว์ อารมณ์อย่างนี้นจะบอกตัวเอง อุปาทานบอกว่า นายคนี้จะต้องตกนรก นี่เป็นอุปาทานแน่ คิดว่านานย ก. ก็คือ นาย ก. และนาย ก. จะมีความประพฤติชั่วอะไรไม่สนใจ จับคำภาวนาให้จิตเป็นอุปจารสมาธิหรือเป็นฌาน ให้เป็นเอกัคคตารมณ์อารมณ์ทรงอยู่เสมอ อยู่อย่างเดียวคืออารมณ์ทรงไว้อย่างเดียว คำว่าอย่างเดียวในที่นี้หมายความว่าจับพระได้ จับภาพพระกับคำภาวนาและก็ลมหายใจเข้าออก เห็นภาพพระชัดเท่าไหร่ แล้วก็จงกำหนดไว้ว่า ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่านาย ก. ตอนนี้อยู่ที่ไหน เพียงเท่านี้แหละ ภาพนาย ก. ก็จะปรากฏชัดเจนเท่ากับภาพพระที่เราเห็น นี่เป็นวิธีฝึกใหม่ ๆ นะ ถ้าหากว่าจิตเห็นเขา บังเอิญาเราเห็นเขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นคนเลว เมากินสุรายาเมา แต่ภาพนั้นกลายเป็นภาพนาย ก. เฉย ๆ เหมือนคนธรรมดาแก่หรือว่าเด็กหรือว่าหนุ่ม ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจงมีความรู้สึกว่า นั่นเป็นภาพเดิมที่นาย ก. แสดงให้เรารู้จัก ยังไม่ใช่ภาพแท้ในปัจจุบัน ต้องกำหนดจิตถามนาย ก. ว่า ( พูดกันด้วยใจนะ เอาใจพูดกัน ตอนนี้เริ่มเป็นทิพย์แล้ว ) ถามว่าปัจจุบันนี้นานย ก. อยู่ที่ไหน แล้วมีสภาพความจริงเป็นยังไง รูปร่างหน้าตา ภาพนาย ก. เดิมก็จะหายไป จะกลายเป็นภาพปัจจุบัน เขาอาจจะเป็นเทวดาก็ได้ เขาอาจจะเป็นพรหมก็ได้ ถ้าท่านจะถามว่าเป็นเทวดาหรือพรหมได้ยังไง ก็เพราะว่าเวลาก่อนที่เขาจะตายน่ะ ใจเขานึกอะไร ดูอย่าง ท่านสุปฏิฐิตเทพบุตร ท่านสร้างกรรมอันลามกทุกอย่างทุกประเภท แต่ว่าก่อนจะตายใจท่านนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วขณะเดียว ท่านก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แล้วฟังพระพุทธเจ้าเทศน์อีกจบเดียวก็ได้พระโสดาบัน ฉะนั้น ก่อนที่อยากจะรู้อะไร อย่าไปสืบประวัติเดิมเขา ไม่ต้องไปสืบ ถ้าขืนสืบอุปาทานมันกิน มันกินตรงไหน นึกถึงภาพเขาฆ่าสัตว์ เราก็นึกว่านาย ก. นี่ต้องลงนรกล่ะ ทีนี้ภาพสัตว์นรกมันก็เกิดน่ะซิ อย่างนี้เขาเรียก " อุปาทาน " จำไว้ให้ดีนะ ว่าคำว่าอุปาทานน่ะใช้กันเฟ้อมาก ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอุปาทาน ถ้าหากว่านาย ก. ลงนรก เราจะเห็นภาพนาย ก. อยู่ในนรก มีโทษประการใด ไฟเผา สรรพาวุธสับฟัน หรือตะกายต้นงิ้ว แย่ก ๆ ๆ หรือว่าตกอยู่ในกระทะทองแดง เราจะเห็นชัดเท่ากับที่เราเห็นภาพพระ นี่ผมถือว่าเป็นอันดับต้น

แต่ทว่าการเห็นอันดับแรกนี่ หากว่าจิตเราทรงฌานไม่ดี บางทีพอนึกจะถาม ภาพนั้นมันหายไปเสียแล้ว พอภาพนั้นหายไป เราก็ตั้งท่าใหม่นึกถึงอารมณ์นั้นจับอารมณ์เดิม พออารมณ์ทรงตัวภาพนั้นก็จะเกิด พอถามคำหนึ่งภาพหายไปเสียอีก นี่เป็นวิธีฝึก แต่ว่าการฝึกนี่ไม่แน่นะ บางคนก็ปรี้ดปร้าดได้ถึงจุดปลายทางเลย นี่ผมพูดตามลักษณะที่จะเกิด ทีนี้ทำยังไง เราจะพูดกันได้ล่ะ ต้องหัดตั้งเวลาที่ผมเคยบอกท่านไว้ว่าตั้งเวลานี่ทำยังไง เวลานี่ใช้แบบง่าย ๆ เอาลูกประคำมาชัก ๑๐๘ ลูก คือ ๑๐๘ จบที่ภาวนา ตอนนี้จับภาพพระไปด้วยใน ๑๐๘ จบนี่เราจะไม่ยอมให้จิตคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ถ้ายังไม่ครบ ๑๐๘ จบ ถ้ามันคิดขึ้นมาก่อนมีอารมณ์แทรก ก็เริ่มต้นมันใหม่ ใช้อิทธิบาทเข้าหั่นมันล่ะทีนี้ ใช้อิทธิบาทกับบารมี ๑๐ เข้าหั่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิบาท " ฉันทะ " พอใจ " วิริยะ " เพียรต่อสู้กับอุปสรรค " จิตตะ " เอาจิตเข้าจดจ่อในเหตุนั้น " วิมังสา " ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญไปด้วย ว่าเราภาวนาถูก ภาวนาจบหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้อะไรมาก เราว่ากันถึงฌาน ให้ทรงอารมณ์ให้ ๑๐๘ ใช้อารมณ์เท่าไหร่ แสดงว่าเราทรงสมาธิได้เวลาเท่านั้น เราก็สามารถจะพูดกับผีเทวดา หรือ พรหมเท่าเวลาที่เราเคยทรงไว้ นี่เป็นอันดับต้น และก็ในอันดับต้นนี้จะมีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลานั่งอยู่ คุยอยู่ ทำอะไรอยู่โดยไม่ได้คิดภาวนาเลย แต่จิตเวลานั้นมันจะตกไปอยู่ถึงอุปจารสมาธิพอดี จิตจะมีความรู้สึกว่าเหตุอย่างนั้นเหตุอย่างนี้จะปรากฏ เอ๊ะ! หรือว่าเป็นภาพปรากฏแต่จิต รู้ว่าภาพนี้เป็นเหตุอันนั้นอันนี้ อันนี้ต้องเชื่อทันทีและห้ามคิดห้ามไตร่ตรอง ห้ามใคร่ครวญเอามาแก้ไข หรือว่าถ้าจิตมันพลาดเลยไปจากนั้นแล้วอารมณ์มันไม่ใช่ทิพย์ ไปใคร่ครวญแก้ไขพิจารณามันก็ไม่ถูก นี่อีกประการหนึ่ง บางทีกำลังคุยกับเพื่อน อ่านหนังสือหรือทำงานอยู่มันง่วงนอน ง่วงนอนทนไม่ไหว นั่นแสดงว่าเทวดาหรือพรหมหรือว่าพระท่านจะบอกอะไรแล้ว ก็มันทนไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องไปนอน พอล้มตัวนอนพั๊บ ภาพนิมิตเกิดจิตบอกทันทีว่าอะไรมันจะมีมา แล้วก็เท่านั้นแหละ อาการง่วงมันจะหายไป แล้วเราก็ต้องเชื่อทันทีว่านี่เหตุนั้นมันจะพึงบังเกิด นี่ว่ากันถึงตอนต้น ๆ นะ อันนี้เราพูดกันละเอียด ๆ หน่อย เพราะว่าจะพูดกันด้านอภิญญาเลยทีเดียวนี่ ผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพราะใช้กำลังเท่ากัน ไอ้เราก็พูดไว้ทั้ง ๒ อย่างเพราะบางท่านก็มีกำลังใจถึงขั้นมโนมยิทธิเกือบอภิญญา บางท่านมีกำลังใจไม่ถึง แต่ทว่าถ้าใช้กำลังใจแบบนี้แล้วก็ไปฝึกมโนมยิทธิด้วยก็กล้วยเลย
นี่ผมพูดถึงว่าการภาวนาว่า " พุทธัง เมฆนิมิต จิตตัง " แต่บังเอิญท่านไม่เอาอย่างนั้น ท่านไปล่อ " นะมะ พะธะ " เข้ามีหวังใช้ได้เลย แต่ทว่าถ้าจิตเข้าถึงระดับนี้ กำลังจะเริ่มขยับ ๆ มันเรียกว่า " อภิญญา " ยังไม่บินนะ ทำเริ่มไหวตัวนิด ๆ เหมือนกับต้นไม้ที่ถูกลมหน่อย ๆ ทีนี้กำลังจิตของท่านเป็นกำลังจิตของฌาน คำว่า ฌานนี่ผมจะไม่อธิบาย ผมพูดมาจนเหนื่อยแล้ว จิตของฌานอารมณ์มันทรงตัว ผมไม่พูดถึงอุปจารสมาธิเบื้องสูง พออารมณ์มันทรงตัวขึ้นมาหมดความรำคาญ ใจสบาย จับภาพพระได้นานภาพพระแจ่มใสขึ้น แบบนี้เราไม่ต้องไปฝึกแบบกสิณ และก็สามารถจับภาพพระได้สัก ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาที ใสชัดขึ้นกว่าเก่า ตอนนี้เราก็ต้องทำให้คล่อง ทางที่ดีเวลาเช้ามืดตื่นขึ้นมา ต้องพยายามเช้ามืดนี่มีเวลาที่มีความสำคัญมาก เพราะตอนหัวค่ำนี่เราเหนื่อยมาตลอดวัน มีภาระ ถึงแม้ว่าไม่มีภาระอะไรอยู่อย่างอื่นมากไม่แบกไม่หาม เราก็ต้องทำโน่นทำนี่ คุยกับคนนั้นคนนี้มีภารกิจ อ่านหนังสือหนังหาจิตใจมันก็เหนื่อยเหมือนกัน ประสาทมันเหนื่อย ฌานนี่ต้องอาศัยกำลังกายเป็นสำคัญนะ อย่าลืม ถ้าหากว่าร่างกายของเรามันทรุดด้านประสาทมันทรุดไปนิดเดียว บางทีเราไม่รู้สึกตัวว่ามันทรุด เห็นมันยังดี ๆ อยู่ แต่อารมณ์มันมัวไปเสียแล้ว นี่ต้องรู้ไว้ด้วยนะ!
แล้วก็ประการที่สอง สำหรับพระ สามเณร พระเป็นอาบัติมันก็มัว ถ้าไม่มีอาบัติมันไม่มัว อันนี้เราจับตัวของเราได้ดี มันจะต้องระมัดระวังเรื่องอาบัติ ถ้าอาบัติใหญ่ล่ะก็พังไปเลย อย่างสังฆาทิเสสนี่ไม่มีหวัง สังฆาทิเสสหรือปาราชิกนี่หมดหวังไปเลย ตั้งแต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ไปถึงปาจิตตีย์นี่มันเริ่มมัว ถ้าเป็นการป้องกันไว้ละก็ เวลาก่อนที่จะสมาทานเรานั่งอยู่กับเพื่อนกัน เราก็บอกว่า วันนี้เราตรวจจิตดูซิ ตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนนี้จิตอารมณืเรามันเสียจุดไหนบ้างในด้านของอาบัติ ถ้ามันเสียเราก็บอกเพื่อนพระ บอกวันนี้จิตผมมัวหมองไปเสียแล้ว ผมเลวไปเสียหน่อยไปละเมิดจุดนั้นจุดนี้เข้า ผมจะพยายามตั้งใจจะไม่ทำอย่างนี้อีก จะไม่พูดอย่างนี้อีก จะไม่คิดอย่างนี้อีก บอกเขาตรง ๆ เป็นภาษาไทย ๆ นั่นแหละ แม้ว่าใจของเราคิดว่าจะระมัดระวังไม่ยอมให้อาการอย่างนี้ที่มันเป็นอาบัติเกิดขึ้น จิตทรงตัวไว้แต่ถ้าเรายังไม่ได้ฌานสมาบัติจริง ๆ มันอดเผลอไม่ได้เป็นของธรรมดา อันนี้ผมไม่ตำหนิแต่ขอให้ท่านตำหนิตัวของท่านเองไว้ว่า เราไม่ยอมพลาดเรื่องอาบัติ

ถ้าวันไหนอาบัติไม่กินวันนั้นแจ่มใส วันไหนไม่เพลียวันนั้นแจ่มใส วันไหนร่างกายไม่ทุพพลภาพหมายความด้านประสาททรงตัว วันนั้นก็แจ่มใส

นี่เวลาเช้ามืดจับภาพพระด้วยคำภาวนาด้วยลมหายใจเข้าออกด้วย ยังไม่ต้องการรู้อะไรทั้งหมด ไอ้การจับภาพใช้คำภาวนากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกให้มันทรงให้ดี ให้ทรงตัวดีจริง ๆ เมื่อทรงตัวดีจริง ๆ บังเอิญมันสว่างเสียก่อนถึงเวลาบิณฑบาต เอ้า! ก็ไม่ต้องรู้อะไรมันถ้าจิตมันทรงตัวดีจริง ๆ ภาพพระแจ่มใสตามกำลังที่เราพึงได้ อย่างนี้จิตสบายเป็นเอกัคคตารมณ์มีอารมณ์แนบแน่น พอใกล้เวลาที่ต้องออกบิณฑบาต ก็นึกน้อมจิตนึกไปว่า เอ๊ะ! วันนี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ จะมีอะไรมาผ่านเราบ้างหรือเปล่า อารมณ์ที่ถูกใจหรืออารมณ์ที่ไม่ถูกใจมีใครบ้างหนอ ผู้ชายกี่คนผู้หญิงกี่คนที่มาทำให้เราไม่สบายใจ หรือทำให้เราสบายใจ หรือว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น จิตมันก็จะบอกนี่เรียกว่าใช้จิตกันก่อนนะ แต่เนื้อแท้จริง ๆ เขาไม่ใช้จิตนะ ใช้จิตน่ะซวย เขาเอาจิตนึกถึงภาพพระ ถามภาพพระว่าวันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วอารมณ์ของจิตนั่นแหละมันจะบอกขึ้นมาเอง ถ้าพระท่านบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็จดไว้ ถ้าจับภาพพระนิมิตแล้วอารมณ์จิตมันก็บอกเข้ามาเองแล้วก็จดไว้ ผมรับรองเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีอะไรผิด

เป็นอันว่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่มีความประสงค์จะพึงให้ได้ทิพจักขุญาณ นั่นก็คือ ขอให้ท่านทั้งหลายจงใช้กำลังใจของท่านให้มั่นคง เรื่องความมั่นคงของจิตนี่มีความสำคัญมาก เพราะว่าการรักษากำลังใจึงแม้ว่าจะฝึกแบบไหนทั้งหมด ก็มีผลเสมอกัน ตามที่กล่าวมาแล้ว ก็หมายถึงว่ากำลังใจของท่านเข้าสู่อุปจารสมาธิหรือว่าอุปจารฌาน ความจริงทิพจักขุญาณนี่สามารถจะใช้กำลังจิตได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิ แต่ทว่าไม่สามารถจะพูดกับเทวดาหรือพรหมหรือว่าใครต่อใครได้ตามอัธยาศัย

**********************************************

(จาก: หนังสือทิพยอำนาจ โดย พระอริยคุณาธาร)

การฝึกจิตเพื่อให้เกิดทิพพจักขุ
ทิพพจักขุ (ตาทิพย์) คือ ญาณที่ทำให้มองเห็น
- รูปทิพย์ เช่น เทวดา พรหม ผี เปรต อสุรกาย ฯลฯ
- เหตุการณ์ /ความเป็นไป ของสรรพสัตว์ในระยะไกล อดีต ปัจจุบัน อนาคต
- สิ่งลี้ลับต่างๆ
- มองทะลุสิ่งกีดขวางทั้งปวง


1. ฝึกจิตให้ได้สมาธิถึงฌานที่ 4 เป็นอย่างต่ำ เจริญฌานให้ชำนาญด้วยขันธ์ทั้ง 5 ของฌาน จนได้เจโตวสี มีอำนาจทางใจ

2. เจริญกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง 1) เตโชกสิณ (ไฟ) 2) โอทาตกสิณ (สีขาว) 3) อาโลกกสิณ (แสงสว่าง) - เป็นเยี่ยมที่สุด

3. เมื่อได้กสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเตโชกสิณ และโอทาตกสิณพึงเจริญให้ยิ่ง จนปรากฎดวงกสิณเป็นสีขาวใสบริสุทธิ์ก่อน จึงจะฝึกเพื่อทิพพจักขุได้ ถ้าเป็นอาโลกกสิณ เมื่อได้แม้เพียงขั้นอุคคหนิมิตรปรากฎ ก็เป็นแสงใสพอควร เมื่อจิตสงบถึงขั้นอัปปนา ก็จะเป็นแสงใสบริสุทธิ์ เป็นที่ตั้งต้นแห่งทิพพจักขุได้ ต่อนั้นไปพึงฝึกทิพพจักขุ โดยวิธีอธิเทวญาณทัสสนะ คือ

(1) ทำโอภาสให้มีประมาณมาก และทำให้เป็นแสงใสบริสุทธิ์ได้เท่าไหร่ยิ่งดี แผ่รัศมีโอภาสไปเป็นปริมณฑลรอบๆ ตัวให้ได้กว้างขวางที่สุด
(2) สำเหนียกในใจเพื่อเห็นรูปทิพย์ไว้เสมอ เมื่อเห็นแล้วพยายามยั้งอยู่ในสมาธิ ให้เห็นรูปทิพย์ได้นานที่สุดเท่าที่จะนาน พึงศึกษาสำเหนียก เหตุให้สมาธิเคลื่อน แล้วพยายามกำจัดเหตุนั้น

เหตุให้สมาธิเคลื่อน (พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอนุรุทธะ ในอุปักกิเลสสูตร)
1. วิจิกิจฉา ความสงสัย

2. อมนสิการ ความไม่เอาใจใส่
3. ถีนมิทธะ ความท้อแท้ซบเซา

4. ฉัมภิ ตัตตะ ความหวาดสะดุ้ง
5. อุพพิละ ความตื่นเต้น

6. ทุฏฐุลละ ความหยาบกระด้าง
7. อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรเกินไป

8. อติลีนวิริยะ หย่อนความเพียรเกินไป
9. นานัตตสัญญา ใส่ใจมากอย่าง

10. อตินิชฌายิตัตตัง รูปานัง เพ่งรูปมากเกินไป

(3) พึงสำเหนียก เพื่อรู้เรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าที่ได้พบเห็นนั้นให้รู้ตลอดอนุโลม ตามวิธีอธิเทวญาณทัสสนะ

อธิเทวญาณทัสสนะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อคราวประทับตำบลคยาสีสะ ได้ตรัสเล่าวิธีฝึกสมาธิ เพื่ออธิเทวญาณทัสสนะ ไว้ว่า

1) เมื่อพระองค์ยังเป็นโพธิสัตว์ก่อนหน้าตรัสรู้ ได้รู้จักโอภาส (แสงสว่างทางใจ) แต่ไม่เห็นรูปทั้งหลายได้ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อเห็นรูป
2) เมื่อพากเพียรไป ได้เห็นรูปดั่งพระประสงค์ แต่ไม่สามารถยับยั้งสนทาปราศัยกับเทพเจ้าได้ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อยับยั้งสนทาปราศัยกับเทพเจ้า
3) เมื่อพากเพียรไป ได้สามารถยับยั้งสนทาปราศัยกับเทพเจ้าได้ แต่ไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมาจากเทพนิกายใด จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
4) เมื่อพากเพียรไป ได้ทราบเทพเจ้าเหล่านั้นมาจากเทพนิกายนี้ เทพนิกายโน้น สมปรารถนา แต่ไม่ทราบว่าได้เป็นเทพเจ้าด้วยกรรมอะไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
5) เมื่อพากเพียรไป ก็ได้ทราบความมุ่งหมาย ข้อ 4) แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอาหารอย่างไร เสวยสุขทุกข์อย่างไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
6) เมื่อพากเพียรไป ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมาย ข้อ 5) แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอายุเท่าไร จะดำรงอยู่นานเท่าไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
7) เมื่อพากเพียรไป ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมาย ข้อ 6) แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเคยอยู่ร่วมกับพระองค์มาหรือไม่ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
8) เมื่อพากเพียรไป ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมาย ข้อ 7) สมดังปรารถนา

แล้วตรัสย้ำในที่สุดว่า ภิกษุทั้งหลาย อธิเทวญาณทัสสนะ มีปริวัฏ 8 ประการนี้ ยังไม่บริสุทธิ์ดีเพียงไร เราก็ยังไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงนั้น เมื่อใดอธิเทวญาณทัสสนะ มีปริวัฏ 8 ประการนี้ บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแจ้งชัด

*** Blogger Ekk - อธิเทวญาณทัสสนะ แปลว่า การรู้การเห็นเทวดาทั้งหลายอันสูงสุด หรือจะแปลตามตัวว่า ญาณทัสสนะที่เป็นไปทับซึ่งเทวดาทั้งหลาย หมายความว่า ญาณทัสสนะอันนี้สูงกว่าเทวดาทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง แปลว่า ญาณทัสสนะ อันนี้สามารถที่จะรู้และเห็นแม้กระทั่งเทวดาชั้นสูงสุด ***

4. เพื่อป้องกันมิให้หลงตน ลืมตัว พึงเจริญ อภิภายตนะ 8 ประการ ต่อไปนี้ คือ

1) เมื่อท่านใส่ใจรูปธรรมอันใดอันหนึ่ง ณ ภายในจนจิตใจเป็นหนึ่งจะเกิดเห็นรูปภายนอกเพียงนิดหน่อย ซึ่งมีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้เสมอว่า เราเป็นผู้รู้ เห็นครอบงำรูปเหล่านั้น ดังนี้เสมอไป

2) ทำดังข้อ 1) ได้เห็นรูปภายนอกมากมาย มีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดั่งในข้อ 1) เสมอไป

3) เมื่อท่านใส่ใจอรูปธรรมอันใดอันหนึ่ง ณ ภายในจนใจเป็นหนึ่ง เกิดเห็นรูปภายนอกนิดหน่อย มีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดั่งในข้อ 1) เสมอไป

4) ทำเหมือนข้อ 3) ได้เห็นรูปภายนอกมากมาย มีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดั่งในข้อ 1) เสมอไป

5) - 8) ทำเหมือนข้อ 3) ได้เห็นรูปภายนอก ประกอบด้วยสีต่างๆ คือ เขียว เหลือง แดง ขาว ผ้าสีเขียว เหลือง แดง ขาว และเครื่องประดับสีเขียว เหลือง แดง ขาว แล้วพึงกำหนดใจไว้เสมอไปว่า เรารู้เห็นครอบงำรูปเหล่านั้น ดังนี้ ความหลงตน ลืมตัวก็จะถูกกำจัดไป เป็นไปเพื่อรู้ยิ่งเห็นจริง สิ่งควรรู้ควรเห็นยิ่งขึ้น ไม่ติดอยู่ในสิ่งได้รู้ได้เห็นนั้นๆ หรือไม่หลงไปว่าสิ่งนั้นๆ เป็นตัว เป็นตนของตน หรือเป็นของๆ ตน

5. เมื่อเจริญกสิณอันเป็นเครื่องนำทิพพจักขุ โดยเฉพาะประการใดประการหนึ่ง จนถึงชั้นฌานที่ 4 ก็ดี เจริญกรรมฐานอันใดอันหนึ่งอื่นๆ จนได้ฌานที่ 4 ก็ได้ นับว่าได้บรรลุภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งทิพยอำนาจแล้ว เมื่อจะน้อมไปเพื่อทิพพจักขุ ต่อไป พึงสำเหนียกก่อนว่า ฌานชั้นที่ 4 นั้น จิตใจใสสะอาดปราศจากราคีแล้ว มีรัศมีสว่างแลเห็นกายและใจตนเองได้ชัดเจน แล้วพึงฝึกแผ่รัศมีสว่างนั้นให้เป็นปริมณฑลออกไปรอบๆ ตัว ให้กว้างขวาง ไกลที่สุดจนสุดขอบจักรวาลได้ยิ่งดี และพึงอยู่ด้วยอาโลกสัญญานั้น ทั้งกลางคืนและกลางวันเนืองๆ ทำใจให้เปิดเผยทุกเมื่อ อย่ายอมให้ความรู้สึกที่ทำใจให้ห่อเหี่ยว มัวซัวมาครอบงำเป็นอันขาด จิตใจเมื่อได้รับอบรมด้วยแสงสว่างอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นใจบริสุทธิ์ผ่องใส มีรัศมีแจ่มใสยิ่ง เปรียบดังแก้วมณีโชติ ฉะนั้น เมื่อนั้นทิพพจักขุอันบริสุทธิ์เกินกว่าจักขุสามัญมนุษย์ก็เกิดขึ้น รู้เห็นอะไรๆ เกินวิสัยสามัญมนุษย์ดังกล่าวมาแล้ว ถ้าปุถุชนได้ทิพพจักขุมักจะลำบาก
เมื่อเห็นสิ่งน่ากลัว เช่น ยักษ์ ใจหวาดสะดุ้งแล้ว สมาธิย่อมเคลื่อน ทิพพจักขุย่อมหายไป ฉะนั้น เมื่อได้แล้วอย่าพึงวางใจ พึงเจริญธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
************

กสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน 3 อย่างนี้ เพื่อทิพพจักขุญาณ

- เตโชกสิณ วงกลมทำด้วยไฟ วิธีทำก่อไฟด้วยฟืนไม้แก่น ให้ลุกโชนเป็นเปลวสีเหลือง เหลืองแก่ และเอาแผ่นหนัง หรือเสื่อลำแพนมาเจาะรูเป็นวงกลม กว้างขนาดวัดผ่าศูนย์กลางคืบ 4 นิ้ว ตั้งบังกองไฟให้มองเห็นได้โดยช่องวงกลมเท่านั้น

- โอทาตกสิณ วงกลมทำด้วยสีขาว วิธีทำเอาสิ่งที่ขาวสะอาด เช่นดอกบัวขาว ผ้าขาว ฯลฯ มาทำ โดยทำนองเดียวกันกับนีลกสิณ คือ ถ้าเป็นดอกไม้ พึงบรรจุลงในภาชนะที่มีขอบปากกลม วัดผ่าศูนย์กลางได้คืบ 4 นิ้ว ให้เต็มขอบปาก อย่าให้ก้านหรือเกสรปรากฎ ให้แลเห็นแต่สีขาว ถ้าเป็นผ้าพึงขึงกับไม้วงกลม ขนาดนั้นให้ดึงดีๆ อย่าให้ยู่ยี่ ถ้าได้ผ้าขาวเนื้อละเอียดเป็นการเหมาะดี

- อาโลกกสิณ วงกลมแสงสว่าง วิธีทำ เจาะก้นหม้อเป็นรูกลม วัดผ่าศูนย์กลาง คืบ 4 นิ้ว ตามตะเกียงหรือเทียนไว้ภายในหม้อ ให้แสงสว่างส่งออกมาตามรูที่เจาะไว้ และหันทางแสงสว่างนั้นให้ไปปรากฏที่ฝา หรือกำแพงแล้ว เพ่งดูแสงสว่างที่ส่องเป็นลำออกไปจากรูที่ไปปรากฏที่ฝาหรือกำแพงนั้น

วิธีปฏิบัติ
พึงชำระตนให้สะอาด นุ่งห่มผ้าสะอาดไปสู่ที่เงียบสงัด ปัดกวาดบริเวณให้สะอาด ตั้งตั่งสูงคืบ 4 นิ้ว สำหรับนั่งอันหนึ่ง สำหรับวางวงกสิณอันหนึ่ง นั่งห่างจากวงกสิณประมาณ 4 ศอก นั่งในท่าที่สบาย วางหน้าให้ตรงทอดตาลงแลวงกสิณพอสมควรแล้ว หลับตานึกดู ถ้ายังจำไม่ได้พึงลืมตาขึ้นดูใหม่ แล้วหลับตานึกดู โดยทำนองนี้ จนกว่าจะเห็นวงกสิณในเวลาหลับตาได้ เมื่อได้แล้วพึงไปนั่งเพ่งดวงกสิณในที่อยู่ให้ชำนาญ จนสามารถทำการขยายดวงกสิณให้ใหญ่และย่นใให้เล็กได้ตามต้องการ เพียงเท่านี้ชื่อว่าสำเร็จกสิณแล้ว จิตใจจะสงบเป็นสมาธิตามลำดับ คือ ชั่วขณะ เฉียดฌาน และเป็นฌาน 1-2-3-4 ตามลำดับไป ในการเลื่อนชั้นของฌานนั้นต้องค่อยๆ เลื่อนไป อย่าด่วนก้าวหน้าในเมื่อฌานที่ได้แล้ว ตนยังไม่ชำนาญในการเข้าออก การยั้งอยู่ การนึกอารมณ์ของฌาน และการพิจารณาองค์ของฌาน จะพลาดพลั้งแล้วจะเสียผลทั้งข้างหน้าข้างหลัง
******************************


จุตูปปาตญาณ - รู้สัตว์เกิดตาย ได้ดี ตกยากด้วยอำนาจกรรม
เกิดจาก ทิพพจักขุญาณ + ยถากัมมูปคตญาณ (รู้ว่าสรรพสัตว์เป็นไปตามกรรมที่เขาทำไว้เอง มิใช่เป็นด้วยอำนาจสิ่งอื่น

วิธีฝึก ให้เจริญตามนัยของการเจริญทิพพจักขุญาณ
*******************************

พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง, ป.ธ. 6)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=47917&sid=894352c46c4f52182c46f22995732f63

รหัสแห่งภาพนิมิต
http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=48&wpid=0019








ไม่มีความคิดเห็น: